โรคต้อหิน…ภัยเงียบที่น่ากลัวกว่าที่คิด
ต้อหินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นถาวรที่พบได้มากที่สุด มีคนไทยมากกว่า 2 ล้านคน ซึ่งถือว่าเป็นภัยเงียบที่เรามักไม่สังเกตกัน จนกว่าจะเป็นแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนั้นอาจจะสายไปแล้วในการรักษา
อาการของโรคต้อหิน ที่มักพบ
โดยส่วนใหญ่ในเบื้องต้นผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการแสดงใดๆ จึงทำให้ไม่ทราบว่าตนเองเป็นต้อหิน
การตรวจพบได้ในระยะนี้จึงมักจะเป็นการตรวจพบโดยบังเอิญ จากนั้นการมองเห็นจะเริ่มแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมีอาการตามัว
ซึ่งเป็นการที่พบได้ในระยะท้ายของโรค และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็วก็จะทำให้ตาบอดได้ในที่สุด
ยกเว้นในรายที่เป็นต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน จะมีอาการปวดตาอย่างรุนแรง ปวดศีรษะ ตามัว ตาแดง สู้แสงไม่ได้ น้ำตาไหล
ซึ่งถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องพบจักษุแพทย์
สาเหตุของการเกิดโรคต้อหิน
ต้อหินเกิดจากการความผิดปกติของการไหลเวียนของน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา อาจจะเกิดได้จากการสร้างน้ำที่มากขึ้น
หรือมีการขับออกของน้ำน้อยกว่าปกติ เมื่อมีน้ำขังมากขึ้นก็ทำให้ความดันตาสูงขึ้น จึงเกิดการทำลายเซลล์ในขั้วประสาทตา
โดยทั่วไปค่าความดันตาปกติจะอยู่ที่ 5-22 มิลลิเมตรปรอท หากพบความดันตาสูงกว่า 22 มิลลิเมตรปรอท จะถือว่ามีความดันตาสูงและเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน
โรคต้อหิน มีกี่ประเภท
- แบ่งตามลักษณะมุมตาได้แก่ ต้อหินชนิดมุมตาปิด และ ต้อหินชนิดมุมตาเปิด
- แบ่งตามสาเหตุเช่น
- “ต้อหิน” ชนิดปฐมภูมิที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไป
- “ต้อหิน” ชนิดทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากโรคตาอื่่น ๆ เช่น เคยเกิดอุบัติเหตุเกี่ยวกับดวงตา, การอักเสบในลูกตา
ต้อกระจก เบาหวานขึ้นตา เป็นต้น
- แบ่งตามระยะการเกิดโรดได้แก่ ต้อหินเฉียบพลัน และ ต้อหินเรื้อรัง
3 วิธีรักษาโรคต้อหิน ภัยร้ายของดวงตา
เนื่องจากต้อหินเป็นโรคที่เกิดจากขั้วประสาทตาถูกทำลายอย่างถาวร เซลล์ที่ตายแล้วจะไม่สามารถกำเนิดใหม่ได้อีก
การรักษาจึงเป็นการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อไม่ให้ขั้วประสาทตาถูกทำลายมากขึ้นไปอีก และรักษาการมองเห็นที่มีอยู่ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยการรักษาจะแบ่งออกเป็น
1. การรักษาด้วยยา
เป็นการรักษาเบื้องต้นที่ดีที่สุด เป้าหมายคือเพื่อลดความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ขั้วประสาทตาจะไม่ถูกทำลายมากขึ้น
การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยจำเป็นต้องหยอดยาให้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยอาจจะเริ่มด้วยยาเพียงชนิดเดียวหรือหลายชนิด
แพทย์จะทำการติดตามผลเป็นระยะเพื่อปรับยา ดูการดำเนินโรค และดูผลข้างเคียงของยา
2. การรักษาด้วยแสงเลเซอร์
การรักษาวิธีนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของต้อหิน และระยะของโรค แบ่งออกเป็น
- Laser peripheral iridotomy (LPI) ใช้สำหรับการรักษาต้อหินมุมปิด เพื่อป้องกันการเกิดต้อหินมุมปิดเฉียบพลัน
- Selective laser trabeculoplasty (SLT) ใช้สำหรับการรักษาต้อหินมุมเปิด โดยอาจใช้เป็นการรักษาแรกๆเพื่อลดความดันตา
หรือใช้เสริมเมื่อใช้ยาหยอดแล้วได้ผลไม่ดีนัก
- Laser cyclophotocoagulation ใช้ในกรณีที่ใช้วิธีการรักษาอื่นๆแล้วไม่ได้ผล
3. การรักษาโดยการผ่าตัด
ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมความดันตาโดยการหยอดยาหรือเลเซอร์ได้ โดยการผ่าตัดมีได้หลายวิธี เช่น
การผ่าตัดทำทางระบายน้ำภายในลูกตา (Trabeculectomy) การผ่าตัดใส่ท่อระบายน้ำลูกตา (Glaucoma drainage device)
การนวดตา สมุนไพร และอาหารเสริม ไม่ใช่การรักษาที่เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ นอกจากไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้ว
ยังอาจจะก่อให้เกิดโทษทำให้โรคแย่ลง โดยเฉพาะในผู้ป่วยต้อหินระยะสุดท้าย
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน
ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงที่ควรมาพบจักษุแพทย์เพื่อคัดกรองต้อหินปีละครั้ง ได้แก่
- อายุมากกว่า 40 ปี
- มีญาติสายตรง(บิดามารดา พี่น้อง)เป็นต้อหิน และมีอายุมากกว่า 35 ปี
- มีประวัติอุบัติเหตุที่ตา
- ใช้สารสเตียรอยด์เป็นประจำ
- สายตาสั้นมาก หรือสายตายาวมาก
- เป็นเบาหวาน
ต้อหินที่เราพบ มักเป็นในกลุ่มผู้ที่ไม่ค่อยดูแลตัวเองทำให้เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะรักษาไม่ได้ทันท่วงที อาการที่มักพบจึงหนักมากกว่าปกติ โดยทางโรงพยาบาลซีเมด ลิฟวิ่งแคร์ อยากเห็นทุกคนมีสุขภาพตาที่ดี ด้วยการใส่ใจสุขภาพและหมั่นสังเกตร่างกายตัวเองกันมากขึ้น หรือทางที่ดีเมื่อมีอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที
ที่มา https://www.gj.mahidol.ac.th/main/knowledge-2/glaucoma/