อ่อนเพลียเรื้อรัง รักษาให้หายได้

Chronic Fatigue TH

อาการอ่อนเพลียเรื้อรัง (Chronic Fatigue Syndrome หรือ CFS) เป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนจำนวนมาก แม้อาการนี้จะไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็สามารถลดคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก โดยทั่วไป ผู้ป่วยจะรู้สึกเหนื่อยล้าเรื้อรังที่ไม่สามารถบรรเทาได้แม้จะพักผ่อนเพียงพอ และมักมีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ นอนไม่หลับ หรือสมองล้า (brain fog)

สาเหตุของอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง

จริงๆแล้วอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง เป็นอาการที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แม้ว่าจะมีการตรวจสอบหลายๆอย่างแต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เพราะมีผลสืบเนื่องมาจากหลายๆอย่างรวมกัน วันนี้เราเลยเอามาแยกเป็นข้อๆให้เข้าใจง่ายขึ้น

  1. การติดเชื้อไวรัส – การติดเชื้อบางชนิดอาจเป็นตัวกระตุ้น เช่น ไวรัสเอ็บสไตน์บาร์ (Epstein-Barr Virus)
  2. ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน – ผู้ป่วยบางรายมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานผิดปกติหรือภูมิคุ้มกันต่ำ
  3. ปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน – ความไม่สมดุลของฮอร์โมนอาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการอ่อนเพลียเรื้อรังได้
  4. ความเครียดและสภาพจิตใจ – ความเครียดเรื้อรังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการนี้
  5. พันธุกรรม – อาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมเกี่ยวข้อง

การวินิจฉัยโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง

การวินิจฉัยอาการอ่อนเพลียเรื้อรังอาจซับซ้อน เนื่องจากไม่มีการตรวจเฉพาะที่ยืนยันได้โดยตรง แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย และการตัดสาเหตุอื่น ๆ ออก เช่น โรคไทรอยด์ โรคซึมเศร้า หรือโรคหัวใจ

วิธีการรักษาของโรคอ่อนเพลียเรื้อรัง

แม้ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาอาการอ่อนเพลียเรื้อรังให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาอาการและช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ วิธีการรักษาประกอบด้วย:

  1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการใช้ชีวิต
    • การจัดการเวลาและพลังงานให้เหมาะสม (pacing) เพื่อลดการเหนื่อยล้าสะสม
    • การนอนหลับอย่างเพียงพอ และการสร้างรูปแบบการนอนที่สม่ำเสมอ
  2. การออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป
    • การเริ่มต้นด้วยกิจกรรมเบา ๆ เช่น การเดินหรือโยคะ แล้วค่อย ๆ เพิ่มความหนักของการออกกำลังกาย
  3. การรักษาด้วยยา
    • แพทย์อาจพิจารณาให้ยาบรรเทาอาการ เช่น ยาแก้ปวด ยาช่วยการนอนหลับ หรือยาแก้ซึมเศร้า
  4. การบำบัดจิตใจ
    • การให้คำปรึกษาหรือการบำบัดทางจิตวิทยา เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) เพื่อช่วยจัดการกับอารมณ์และความเครียด เป็นอีกวิธีที่ช่วยได้มาก
  5. การรับประทานอาหารที่สมดุล
    • การบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักผลไม้ โปรตีน และไขมันดี เพื่อเสริมสร้างพลังงานที่ดีและได้ปริมาณสารอาหารครบถ้วน จะช่วยให้ร่างกายรู้สึกมีแรงมากขึ้นได้

การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการกำเริบ

  • หลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินไปหรือนอนดึกจนเกินไป เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียได้ง่ายมากๆ
  • จัดการความเครียดด้วยการทำกิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิ หรือการหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ ยิ้ม หัวเราะเยอะๆ
  • หมั่นตรวจสุขภาพและติดตามอาการกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ถ้าไม่สามารถจัดการความเครียดของตัวเองได้ก็ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเป็นการดีที่สุด

อาการอ่อนเพลียเรื้อรังเป็นภาวะที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ด้วยการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาแบบองค์รวม ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูคุณภาพชีวิตได้ อย่าละเลยที่จะปรึกษาแพทย์หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการที่สอดคล้องกับอาการนี้ การดูแลสุขภาพอย่างใส่ใจและการจัดการพฤติกรรมประจำวันอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังได้อีกครั้ง

เราพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการแก่สถานประกอบการ ให้หัวข้อต่างๆ ทั้งในด้านสุขภาพและด้านอาชีวเวชศาสตร์ ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ มอบบริการที่ใส่ใจ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านพึงพอใจและได้ประโยชน์สูงสุด


ตรวจสุขภาพครั้งใด.. นึกถึง โรงพยาบาลซีเมด ลีฟวิ่งแคร์ เราไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โทร.: 0-2199-2111 ต่อ 161 แผนกการตลาด
หรือ 081-358-6493 (คุณอ้น), 086-368-5317 (คุณไอซ์)
อีเมล: info@semed.co.th
LINE: @semed
Facebook: SEMed living care hospital