เสี่ยงตาย! นอนกรนเป็นประจำ สาเหตุของโรคร้าย

Snoring TH

หลายคนคงไม่ชอบคนที่นอนกรนเท่าไหร่นัก จะนอนก็ไม่ได้นอน เสียงกรนก็อย่างดัง แต่ถ้ามองลึกลงไป การนอนกรน เสี่ยงอันตรายถึงชีวิตได้เลย สมัยนี้คงเคยได้ยินมาบ้างแล้ว เรื่องที่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่น่ากลัว วันนี้ซีเมดเลยนำบทความเกี่ยวกับภาวะการนอนกรนมาให้ทุกคนทำความเข้าใจกันมากขึ้น ว่าแค่อาการนอนกรน มันเสี่ยงต่อชีวิตอย่างไรได้บ้าง

นอนกรน คืออะไร?

นอนกรน (Snoring) เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอขณะหายใจเข้าและออกระหว่างการนอนหลับ เสียงกรนมักจะเกิดจากการที่ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบลง ทำให้อากาศไหลผ่านอย่างยากลำบาก ซึ่งภาวะนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่พบมากในผู้ชายและผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุของการนอนกรน

  1. โครงสร้างร่างกาย: คนที่มีลิ้นไก่ หรือลิ้นที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติจะมีโอกาสนอนกรนสูงขึ้น
  2. น้ำหนักเกิน: ไขมันสะสมรอบคอทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและกดทับหลอดลมทำให้เกิดการนอนกรน
  3. อายุที่เพิ่มขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น กล้ามเนื้อในลำคอและลิ้นจะสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้มีโอกาสเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
  4. พฤติกรรมการนอน: การนอนหงายจะเพิ่มโอกาสให้อวัยวะในลำคอและลิ้นไปปิดกั้นทางเดินหายใจ
  5. การดื่มแอลกอฮอล์และยาบางชนิด: แอลกอฮอล์และยาที่มีฤทธิ์กดประสาทจะทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวและเพิ่มความเสี่ยงในการอุดกั้นทางเดินหายใจ
  6. โรคประจำตัว: โรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และโรคทางเดินหายใจส่วนบนอื่น ๆ อาจทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและนำไปสู่การนอนกรน

ความเชื่อมโยงระหว่างการนอนกรนและภาวะหัวใจหยุดเต้น

การนอนกรนอาจไม่ใช่เพียงแค่เสียงรบกวนในยามหลับเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ซึ่งเป็นภาวะที่มีการหยุดหายใจชั่วคราวระหว่างการนอนหลับ ภาวะนี้เกิดจากการอุดกั้นทางเดินหายใจชั่วขณะ และเมื่อลมหายใจหยุด การทำงานของหัวใจจะได้รับผลกระทบโดยตรง ถ้าปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือดที่เชื่อมโยงกับการนอนกรน

  1. ความดันโลหิตสูง: การหยุดหายใจระหว่างหลับทำให้ร่างกายขาดออกซิเจน ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) จะถูกกระตุ้น ส่งผลให้หลอดเลือดหดตัวและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น
  2. หัวใจเต้นผิดจังหวะ: การหยุดชะงักของออกซิเจนในร่างกายจะรบกวนการทำงานของหัวใจ ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น หัวใจเต้นเร็วหรือช้าเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจวายได้
  3. ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure): ผู้ที่มีภาวะ OSA มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย
  4. โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke): การหยุดหายใจขณะหลับจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าปกติ

จะรู้ได้อย่างไรว่าการกรนของคุณเสี่ยงต่อหัวใจหยุดเต้น?

หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย:

  • กรนเสียงดังต่อเนื่อง
  • หยุดหายใจชั่วคราวระหว่างนอนหลับ (อาจมีคนใกล้ชิดสังเกตได้)
  • ตื่นขึ้นมารู้สึกหายใจไม่ทันหรือหายใจเฮือก
  • ง่วงนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน
  • ปวดศีรษะหลังตื่นนอน
  • นอนไม่หลับหรือตื่นบ่อยระหว่างคืน

การป้องกันและการรักษา

  1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: ลดน้ำหนัก หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และยากล่อมประสาทก่อนนอน เปลี่ยนท่านอนจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง
  2. การใช้อุปกรณ์เสริม: ใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) ซึ่งเป็นเครื่องช่วยเพิ่มแรงดันอากาศเพื่อให้ทางเดินหายใจเปิดอยู่เสมอ
  3. รักษาสาเหตุที่เกี่ยวข้อง: การรักษาโรคภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ และภาวะที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจส่วนบนจะช่วยลดการนอนกรนได้
  4. การผ่าตัด: ในกรณีที่มีโครงสร้างทางเดินหายใจผิดปกติ เช่น ลิ้นไก่ยาว หรือโพรงจมูกตีบ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดเพื่อขยายทางเดินหายใจให้เข้าที่มากขึ้น

การนอนกรนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยและไม่เป็นอันตราย แต่ในความเป็นจริงอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะที่เสี่ยงต่อหัวใจหยุดเต้น การรับรู้และเฝ้าระวังภาวะหยุดหายใจขณะหลับเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการปล่อยให้เกิดภาวะนี้เป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นผิดจังหวะ และโรคหลอดเลือดสมอง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือการผ่าตัด อาจช่วยลดความเสี่ยงและส่งเสริมสุขภาพการนอนที่ดีขึ้นได้ หากมีอาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจมีภาวะนี้ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจและรักษาอย่างเหมาะสม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร.: 0-2199-2111 ต่อ 161 แผนกการตลาด

หรือ 081-358-6493 (คุณอ้น), 086-368-5317 (คุณไอซ์)

อีเมล: info@semed.co.th

LINE: @semed

Facebook: SEMed living care hospital