นิ้วล็อค โรคยอดฮิตของคนรุ่นใหม่
เป็นโรคทางมือที่เกิดจากการกํามือแน่น งอนิ้วมือนานหรือซ้ำๆ ทําให้เส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่ฝ่ามือ
มีแรงกระทําต่อกันมากจนเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็นหนาตัวขึ้น เมื่อก่อนมักพบบ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุที่ใช้มือทํากิจกรรม
หยิบจับสิ่งของอยู่ตลอดเวลา เช่น หิ้วของหนัก บิดผ้าด้วยมือเปล่าจํานวนมากๆ หรือผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน
โรคในกลุ่มรูมาตอยด์ เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้โรคนิ้วล็อคกลับเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่เยอะขึ้น เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งทำงานนาน การเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานเกินไป การถือเครื่องมือต่างๆก็ทำให้เกิดนิ้วล็อคขึ้นได้ เช่นเดียวกัน
นิ้วล็อค โรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ ถ้าดูแลตนเองอย่างถูกวิธี
ผู้หญิงเป็นโรคนิ้วล็อคมากกว่าผู้ชาย 2-6 เท่า และผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นโรคนิ้วล็อคมากกว่าคนปกติถึง 4 เท่า! โดยร้อยละ 4 เป็นมากกว่าหนึ่งนิ้ว
ลักษณะอาการของโรคนิ้วล็อค
เป็นภาวะที่นิ้วมือล็อคติดอยู่ในท่างอ เวลาเหยียดนิ้วจะติดขัดและสะดุด อาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกนิ้วและเกิดพร้อมกันได้หลายนิ้ว ส่วนใหญ่พบในนิ้วหัวแม่มือมากที่สุด รองลงมาคือ นิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วก้อย และนิ้วชี้ ตามลําดับ และผู้ป่วยมักมีอาการนิ้วล็อคมากขึ้นในช่วงหลังตื่นนอน โดยเฉพาะตอนที่เริ่มขยับนิ้วงอเหยียด จะมีอาการปวดจากการสะดุดล็อคของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเส้นเอ็น แต่พองอเหยียดไปสักระยะหนึ่งอาการก็จะดีขึ้น
อาการของโรคนิ้วล็อคมีอยู่ 4 ระดับ ได้แก่
ระดับหนึ่ง ปวดและกดเจ็บที่ปลอกหุ้มเส้นเอ็นตําแหน่งฝ่ามือ เคยงอเหยียดนิ้วแล้วสะดุด แต่ตรวจร่างกายอาจไม่พบว่าสะดุด
ระดับสอง ตรวจพบการสะดุดเวลางอเหยียดนิ้ว ยังสามารถเหยียดนิ้วเองได้สุด
ระดับสาม นิ้วติดล็อคต้องใช้มือช่วยเหยียด หรืองอจึงจะสุด
ระดับสี่ นิ้วติดล็อคไม่สามารถเหยียดนิ้วให้สุดได้
ทําอย่างไรให้ห่างไกลโรคนิ้วล็อค
- หลีกเลี่ยงการทํางานโดยการงอข้อมือ กํามือ หรือเกร็งข้อมือติดต่อกันนานๆ
โดยควรหยุดพักการใช้งานมือทุก 15-25 นาทีใน 1 ชั่วโมง
- ฝึกการใช้มือที่ถูกต้อง เช่น การเขียนหนังสือ ควรใช้ปากกาด้ามใหญ่และหมึกไหลลื่น
เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้นิ้วจับปากกาแรงและกดกระดาษแรง
- การใช้เมาส์คอมพิวเตอร์ ควรหาแผ่นรองเมาส์ ที่มีส่วนรองรับข้อมือ การใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์
ควรพยายามยกข้อมือให้อยู่ระดับข้อศอก หรือต่ำกว่าข้อศอกเล็กน้อย เป็นต้น
- ผ่อนคลายอิริยาบถด้วยการบริหารมือและข้อมือ
ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
(สสส.)