โรคตาแดงในเด็ก โรคระบาดที่ติดกันง่าย

TH

โรคตาแดง (Conjunctivitis) ในเด็กเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือการแพ้สารก่อภูมิแพ้ แม้ว่าส่วนใหญ่โรคนี้จะไม่รุนแรง แต่ในบางกรณีอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ การทำความเข้าใจโรคตาแดงสามารถช่วยให้ผู้ปกครองและผู้ดูแลเด็กสามารถป้องกันและจัดการกับโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สาเหตุของโรคตาแดงในเด็ก

  1. การติดเชื้อไวรัส
    การติดเชื้อไวรัสเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในโรงเรียนหรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ไวรัสที่พบมากที่สุดคือ อะดีโนไวรัส (Adenovirus) ซึ่งมีคุณสมบัติแพร่กระจายได้ง่ายผ่านการสัมผัสโดยตรง เช่น การใช้ของร่วมกัน หรือผ่านละอองฝอยในอากาศ
  2. การติดเชื้อแบคทีเรีย
    แบคทีเรียที่พบได้บ่อย ได้แก่ สแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) และ สเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) อาการมักรุนแรงกว่าโรคตาแดงจากไวรัส โดยมีหนองหรือขี้ตาสีเหลืองข้นออกมา
  3. การแพ้สารก่อภูมิแพ้
    สารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือสารเคมีในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด อาจทำให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองต่อเยื่อตา
  4. สิ่งแปลกปลอมและการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม
    การสัมผัสกับคลอรีนในสระว่ายน้ำ ควัน หรือสารเคมีต่าง ๆ อาจทำให้ดวงตาแดงและระคายเคืองได้

อาการของโรคตาแดงในเด็ก

อาการของโรคตาแดงอาจแตกต่างกันตามสาเหตุ แต่โดยทั่วไปมีลักษณะสำคัญดังนี้:

  • ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงหรือชมพู
  • น้ำตาไหลมากผิดปกติ
  • คันตาหรือรู้สึกระคายเคืองในดวงตา
  • ขี้ตาสีเหลืองหรือเขียว (ในกรณีติดเชื้อแบคทีเรีย)
  • หนังตาบวม
  • อาจมีไข้หรืออาการคล้ายไข้หวัดร่วมด้วย (ในกรณีติดเชื้อไวรัส)

ไวต่อแสงหรือแสบตาเมื่ออยู่ในแสงจ้า

การวินิจฉัยโรคตาแดงในเด็ก

แพทย์มักวินิจฉัยโรคตาแดงจากการตรวจร่างกายและซักประวัติของเด็ก โดยเน้นที่:

  1. ประวัติอาการ
    แพทย์จะสอบถามว่าอาการเริ่มต้นเมื่อใด เกิดขึ้นในสถานการณ์ใด และมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือผู้ป่วยโรคตาแดงหรือไม่
  2. การตรวจร่างกาย
    • ตรวจดวงตาด้วยการใช้ไฟฉายเพื่อดูเยื่อตาและกระจกตา
    • อาจเก็บตัวอย่างน้ำตาหรือขี้ตาเพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการในกรณีที่สงสัยว่าเกิดจากแบคทีเรียหรือไวรัสชนิดเฉพาะ
  3. การตรวจเพิ่มเติม (ในบางกรณี)
    หากมีภาวะแทรกซ้อน แพทย์อาจพิจารณาใช้เครื่องมือพิเศษ เช่น Slit Lamp เพื่อดูรายละเอียดของดวงตา

การรักษาโรคตาแดงในเด็ก

  1. การรักษาตามสาเหตุ
    • ไวรัส: มักไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เนื่องจากอาการมักดีขึ้นเองภายใน 7-10 วัน ควรดูแลตามอาการ เช่น การหยอดน้ำตาเทียมและประคบเย็น
    • แบคทีเรีย: ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดหยอดตาหรือขี้ผึ้งตามที่แพทย์สั่ง อาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังเริ่มยา
    • ภูมิแพ้: ใช้ยาต้านฮีสตามีนหรือยาหยอดตาสเตียรอยด์ (หากจำเป็น) ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  2. การดูแลที่บ้าน
    • ล้างมือบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
    • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
    • ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นเช็ดขี้ตาเบา ๆ วันละ 2-3 ครั้ง

หลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อน
ในกรณีที่เด็กมีอาการรุนแรง เช่น การมองเห็นลดลง ปวดตาอย่างรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากรักษา ควรพาไปพบแพทย์ทันที

Two little girls friends playing funny in the park

การป้องกัน

  1. สุขอนามัยส่วนบุคคล
    • สอนเด็กให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำบ่อย ๆ
    • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา
  2. การจัดการสิ่งแวดล้อม
    • ทำความสะอาดของเล่นและสิ่งของที่เด็กสัมผัสบ่อย
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีผู้ป่วยโรคตาแดง
  3. การดูแลในโรงเรียนและสถานรับเลี้ยงเด็ก
    • หากพบเด็กป่วย ควรให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายดีเพื่อลดการแพร่กระจาย

แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อทำความสะอาดพื้นที่ที่มีการสัมผัสเชื้อ

โรคตาแดงในเด็กเป็นภาวะที่ต้องการความใส่ใจอย่างจริงจัง แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่กระทบต่อสุขภาพดวงตาได้ การรู้จักสาเหตุ อาการ วิธีการวินิจฉัย และการรักษาอย่างถูกต้อง รวมถึงการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพดวงตาที่ดีและลดการแพร่ระบาดของโรคในชุมชน.

เราพร้อมให้การสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการแก่สถานประกอบการ ให้หัวข้อต่างๆ ทั้งในด้านสุขภาพและด้านอาชีวเวชศาสตร์ ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ มอบบริการที่ใส่ใจ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ลูกค้าทุกท่านพึงพอใจและได้ประโยชน์สูงสุด
ตรวจสุขภาพครั้งใด.. นึกถึง โรงพยาบาลซีเมด ลีฟวิ่งแคร์ เราไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
โทร.: 0-2199-2111 ต่อ 161 แผนกการตลาด
หรือ 081-358-6493 (คุณอ้น), 086-368-5317 (คุณไอซ์)
อีเมล: info@semed.co.th
LINE: @semed
Facebook: SEMed living care hospital